วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เดินทางภายในประเทศอินเดีย

     การเดินทางภายในประเทศอินเดียครั้งหนึ่งที่ผมต้องจดจำคือขึ้นเครื่องบินจากเมืองพาราณสีเพื่อมารอขึ้นเครื่องกลับไทยที่เมืองกัลกาต้า ในการเดินทางครั้งนี้ต้องเดินทางเพียงลำพังเพราะทุกท่านต่างไม่ว่างและบางท่านก็เดินทางกลับไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ – คงคา (Ganga, Ganges)

     “คงคา”  หรือ “กังกา” (Ganga) ออกเสียงตามภาษาถิ่น แต่ในภาษาอังกฤษออกเสียงว่า “แกงกีส” (Ganges) ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮินดู ทั้งยังเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2,510 กิโลเมตร (1,560 ไมล์) ลึกโดยเฉลี่ยราว 52 ฟุต (16 เมตร) ส่วนที่ลึกสุดนั้นประมาณ 100 ฟุต (30 เมตร) แม่น้ำคงคายังได้รับการประกาศให้เป็นแม่น้ำประจำชาติของอินเดียอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พาราณสีเมืองของพระเจ้า

     พาราณสีเมืองของพระศิวะเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นเมืองที่ชาวฮินดูมาแสวงหาความหลุดพ้น พาราณสีมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปหลายชื่อ พาราณสีเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เมืองนี้ไม่เว้นว่างจากผู้คน เมืองพาราณสีตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำคงคา และยังเป็นที่จาริกบุญของชาวฮินดูนับล้านๆคน สารนาถเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งแรกให้กับปัจจะวักคี

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อีกครั้งกับเมืองกัลกาต้า

      หลังจากที่เดินทางไปอยู่เมืองพาราณสีเสียนานคราวนี้ก็กลับมาเมืองกัลกาต้า[Kalkata] (โกลกาต้า, กัลกัตต้า,โกกัตต้า ก็แล้วแต่จะเรียกไม่ผิดเพราะมันเขียนให้อ่านได้หมด)อีกครั้งเพราะต้องเดินทางมารับหลวงน้าพร้อมกับคณะอาจารย์ (คำสั่งหน่ะครับ) ก็ไม่ได้คาดหรอกว่าจะต้องมาเพียงลำพังเพราะเพื่อนที่รับปากไว้แกติดสอบ(โดยสาวภูฏาน) ก็ต้องเดินทางเองอีกแระ…

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

พาราณสี : หนึ่งในตำนานคงคา

     มีตำนานมากมายที่ได้กล่าวถึงการกำเนิดของแม่น้ำคงคา หนังสือจำนวนมาก ซึ่งสามารถหาได้จากวัดหรือเมืองต่าง ๆโดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำคงคา บรรยายสรรเสริญอำนาจที่สามารถชำระล้างบาปและสิ่งไม่ดีทั้งหมดของผู้ได้ชำระร่างกาย ตำนานของแม่น้ำคงคานั้นมีมากมายและเรื่องที่จะนำเสนอให้ทุกท่านต่อไปนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากและได้รับการเล่าสืบต่อกันอย่างกว้างขวาง.....

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

เมืองพาราณสี : อารยธรรมจากอดีตสู่ปัจจุบัน

     นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เดินทางมานมัสการสังเวชนียสถานแทบทุกคณะ(จะว่าไปก็ทุกคณะเลยหล่ะ) ต้องมาเมืองพาราณสี เมืองโบราณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุมากกว่า ๓,๐๐๐ ปี อีกทั้งเมืองพาราณสีนี้ยังเป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองนี้ก็คือ "แม่น้ำคงคา"

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ย่างกายสู่พาราณสี

17-02-11-120039     ในวันเดินทางจากเมืองคยาสู่เมืองพาราณสีผมเลือกเดินทางโดยรถไปเพราะว่ามีหลวงเพื่อนเดินทางมารับที่เมืองคยา เราเดินทางออกจากพุทธคยาโดยมีพี่กล้วยเป็นคนขับรถมาส่งที่สถานนีรถไฟคยา เส้นทางที่อินเดียคงไม่ต้องมีการอธิบายให้ยากความเพราะหินสุดยอด (ขนาดในเมืองนะ)

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธเมตตา

     หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ประดิษฐานภายในเจดีย์พุทธคยา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑๔๗ เซนติเมตร สูง ๑๖๕ เซ็นติเมตร สร้างด้วยเนื้อหินทราย สมัยปาละ มีอายุประมาณ ๑๔๐๐ ปี ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งได้รอดพ้นจากการถูกทำลายจากการรุกรนของกษัตริย์ฮินดูได้

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

สาธุ! พุทธคยา

     หากเอ่ยคำว่า “พุทธภูมิ” คงไม่มีใครไม่เอ่ยถึงเมืองคยา หรือที่คนไทยรู้จักและเรียกกันจนติดปากว่า พุทธคยา เพราะเมืองคยานี้เป็นสถานที่ตั้งของมหาเจดีย์พุทธคยา และขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินทางสู่พุทธคยา

     จากสนามบินโกลกาตา ซึ่งใช้เวลาพักนานพอสมควรแล้วในที่สุดก็ได้เวลาที่ต้องเดินทางจากมาด้วยดีหลังจากเจ้าหน้าที่เขาคะยั้นคะยอให้อยู่เป็นเพื่อนเขา แต่พวกเราที่เดินทางมาในครั้งนี้ได้ลงมติกันว่า “เราต้องเดินทางไปพุทธคยา” ฉะนั้นจึงไม่มีใครยินยอมอยู่เป็นเพื่อนแขกที่สนามบิน

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ณ สนามบินโกลกาตา

 

      ครั้งก่อนได้เล่าค้างไว้ตอนเดินทางมาถึงสนามบินโกลกาตา อากาศเย็นครับ บ้านเราประมาณบ่ายสองโมง เข้าไปด่านให้เขาเช็คพาสปอร์ตรอซักชั่วโมงครึ่ง เอ๊าในสุดก็ถึงคิวเราแล้ว เย้! ดีใจจัง ตอนยื่นพาสปอร์ตให้แขกมันมองหน้าเราก็มองหน้ามัน (คิดในใจจะผ่านไหมเนี่ยเรา สาธุ ด้วยบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาขอให้ผ่านด้วยเถิด) รู้เหมือนว่าจะได้สร้างบุญมาดี ผ่านครับ ผ่านแล้ว เดินเข้าไปๆ พี่แขกที่ยืนหน้าทางจะเข้าไปเอากระเป๋ามันแบมือ เราก็งงสิ ทำไรอ่ะพี่ มันบอกขอดูพาสปอร์ต จัดให้มันไปครับ ผ่านอีก(ก็ผ่านมาแล้วจะตรวจไรอีกหล่ะ)

       มายืนรอกระเป๋า รอ รอ คณะทัวร์ที่มาด้วยกันเอาสิครับเขาได้กระเป๋ากันแล้วกระเป๋าผมหล่ะ มาแล้วครับใบแรก แล้วใบที่สอง ไม่มา รอครับ ไม่มา หมดแล้วที่โหลดมา เริ่มเซ็งครับกระเป๋าผมหาย และยังมีอีกใบที่หายเป็นของป้าอิง(ผมจำชื่อไม่ค่อยได้) หายเหมือนกัน ดีใจชื้นขึ้นมาหน่อยครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมคนเดียว เอาสิครับ เอาไงต่อ พอแขกมันเห็นเราเริ่มโวยวายก็เข้ามาครับ มาถามเป็นไร ได้ทีเราก็ซัดไปเลย กระเป่าหายต้องการติดต่อเจ้าหน้าที่บริษัทสายการบินครับ มันบอกให้ไปถามที่ INFORMATION เอาสิ มองไปดูไม่มีคนแล้วจะให้ไปถามผีแขกหรือไง สักครู่มีคนมาหาครับ บอกว่ามาจากบริษัทสายการบินที่คุณมา ต้องการให้ช่วยอะไรไหม เราก็บอกไปว่ากระเป๋าของผมและของป้าคนหนึ่งหายไป เขาก็ไปเอาเอกสารมาครับให้เรากรอก กรอกแล้วก็บอกให้เราไปติดต่อที่ออฟฟิซของบริษัท แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกจะได้เข้าไปหาเลย เข้าไปแล้วก็บอกครับ แต่คำตอบที่ได้มาคือ ให้คุณรอแล้วจะติดตามให้เราก็บอกมีธุระด่วนจะไปแล้วไม่มีเวลา มันบอกจะส่งไปให้ที่เมืองไทย แล้วผมสิ ไม่กลับง่ายแล้วจะให้ทำยังไง เอายังไง แต่คณะที่ผมมาด้วยรีบครับ เลยต้อง โอเค ไปก่อน

       หารถครับ มาอินเดียครั้งแรก ตกใจนึกว่ารถเหมือนบ้านเรา เก๋ง รถตู้ รถบัส ไม่ครับรถจริง แต่ไม่ใช่แบบที่คิด ผิดคาดครับงานนี้แต่ก็ต้องไปเพราะรีบ ต้องไปให้ถึงพุทธคยาให้เร็วที่สุด (จะได้พักผ่อน นอนหลับ) เมื่อได้แล้วก็จัดการเลยครับ มันบอกหกชั่วโมง เหอๆ นอนหลับยาวเลยครับงานนี้

      ก่อนจะไปถึงคยา ไหนๆ ก็เอ่ยถึงโกลกาตาแล้ว ก็ขอเล่าประวัติให้เล็กน้อย หากไม่อ่านก็ข้ามไปครับ ไม่ว่าแต่อยากให้อ่านเพื่อความรู้ๆ เอาละนะ ตั้งใจฟัง(อ่าน) จะเล่าละ ไปกันเลย

     โกลกาตา (Kolkata) หรือชื่อเดิม กัลกัตตา (Calcutta) เป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฮูคลี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมืองนี้มีจำนวนประชากร 4,580,544 คน (พ.ศ. 2544) ซึ่งหากนับรวมในเขตเมืองรอบนอกด้วยก็จะมีจำนวนมากกว่า 14 ล้านคน ทำให้เมืองนี้เป็นกลุ่มเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ

    โกลกาตาเคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียในสมัยการปกครองของอังกฤษ จึงทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาสมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง (จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการย้ายเมืองหลวงไปนิวเดลี) อย่างไรก็ตาม โกลกาตาประสบกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานติดต่อกันหลายปีหลังจากอินเดียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2490 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา การฟื้นฟูและการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้นำไปสู่ความเจริญเติบโตของเมืองอย่างเต็มที่ แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองใหญ่แห่งอื่น ๆ ในอินเดีย โกลกาตาต้องเผชิญกับปัญหาเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหามลภาวะ ปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น นอกจากนี้ โกลกาตายังมีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ตั้งแต่การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย ไปจนถึงขบวนการฝ่ายซ้ายและสหภาพการค้าต่าง ๆ อีกด้วย

    เป็นไปได้ว่าชื่อโกลกาตาและ "กัลกัตตา" นั้นอาจจะมาจาก กาลิกาตา ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่บ้านสามแห่ง (กาลิกาตา สุตนุติ และโคพินทปุระ) ในพื้นที่แถบนี้ก่อนการเข้ามาของอังกฤษ ซึ่งสันนิษฐานว่า "กาลิกาตา" นั้นเป็นรูปในภาษาอังกฤษของคำว่า กาลีเกษตร ("ดินแดนของพระแม่กาลี") หรือมาจากคำในภาษาเบงกาลีว่า กิกิลา ("ที่ราบ") หรืออาจมีต้นกำเนิดจากคำพื้นเมืองที่ใช้เรียกชื่อคลองธรรมชาติสายหนึ่ง คือ คาล ตามด้วย กัตตา แม้ว่าในภาษาเบงกาลีซึ่งเป็นภาษาของท้องถิ่นจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า "โกลกาตา" มาตลอด แต่ชื่อภาษาอังกฤษของเมืองก็เพิ่งถูกเปลี่ยนจาก "กัลกัตตา" เป็น "โกลกาตา" ตามการออกเสียงในภาษาดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2544 นี้เอง บางคนมองว่านี่เป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวเพื่อลบล้างสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดจากการปกครองของอังกฤษ

จากสุวรรณภูมิสู่โกลกาต้า

 

Kolkata-airport-corporate-info

   การเดินทางในครั้งหนึ่งๆ เราก็ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเงิน (อันหลังหากไม่มีก็อดเที่ยวสิครับ) แล้วใครจะไปรู้ว่าการเดินทางครั้งหนึ่งจะเป็นยังไงบ้าง ตัวผมเองก็เหมือนกัน ใช่ว่าจะไม่ลืมนะ ขนาดที่ว่า เขียนมันไว้แม่งทุกอย่าง ติดไว้ทุกมุมก่อนออกเดินทาง ก็ยังไม่วายที่จะลืม (คนมันขี้ลืมนี่หว่า) แต่ยังไงก็ตาม มีการเดินทางอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมแบบว่า สุดแสนจะ(ไม่)ปลื้มเอาซะเลย คือการเดินทางเข้าประเทศอินเดียครั้งแรกของชีวิต แบบว่าครับ เด็กบ้านนอก อาศัยอยู่นอก(เมือง) ชอบกินของ(บ้าน)นอก ทำตัวเป็นเด็ก(บ้าน)นอก และไปเรียนเมืองนอก (อันหลังนี่น่าดูดีหน่อยนะ) ไปก็เอาเลยครับ เช็คอินที่สุวรรณภูมิ (พอดีไม่ทันได้ใช้ดอนเมืองกับเขานะครับ) เช็คเป้แล้ว ครั้งแรกเขาบอก “น้อง! เอาคอมพิวเตอร์ออก” ครั้งที่สอง “น้อง! เอากล้องถ่ายรูปออก” ครั้งที่สาม “น้อง! เอาสบู่ ครีม ยาสีฟันออก” ก็กำลังสงสัยว่า ทำไมบอกให้กระผมรู้ว่าเอาอะไรออกตั้งแต่แรก เช็คแล้วเช็คอีกอายเขานะ(ตัวเอง) ซึ่งกว่าจะผ่านมาได้เล่นเอาเหนื่อยไปตามๆ กัน

  ผมเหนื่อยเพราะกลัวไม่ผ่าน แต่พี่เขาเหนี่อยพระต้องยกกระเป๋าผม ก็ล่อไปซะหนักเลยแหละ กะว่าซักสิบกิโลได้มั๊ง หลังจากตรวจแล้วขึ้นเครื่อง (ลืมบอกไปว่าเด็กบ้านนอกอย่างผมเดินทางหรูสุดแล้ว พี่แอร์เอเซีย) นั่งใกล้แขกอีก มันมาต้องรับถึงบนเครื่องเลย ไอ้เราก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้(ดี) ยิ่งภาษาแขก(ฮินดี) หมดสิทธิ์ครับ เอาวะมั่วไปก่อนเดี๋ยวคงดี ดีจริงๆ ครับ พอเครื่องขึ้น แอร์โฮสเตสประกาศว่าสองชั่วโมง ผมไม่หลับครับ แต่แขกหลับผมนั่งอยู่บนเครื่องคิดเอง “สองชั่วโมงบ้านมึงเหรอมาเมืองแขกสองชั่วโมง เมืองไทยขนาดสุวรรณภูมิไปเชียงใหม่ก็ปาไปเกือบห้าสิบนาที นี่มาอินเดียสองชั่วโมง” ไม่ได้บอกใครครับ แต่กำลังจะง่วงเหมือนกัน มาแล้วครับ บริการชั้นยอด อาหารน้ำดื่ม อยู่เมืองไทยไม่เคยนะครับ โออิชิขวดละ 50 บาท อาการกล่องละ 150 บาท  (ถูกที่สุดแล้วนะ) ไม่เคยเจอคิดว่าสองชั่วโมง(เชื่อตามเขาประกาศ) มาถึงสนามบินโกลกาตา (Kolkata) สองชั่วโมงครับ เครื่องออกจากเมืองไทย 10.30 น. ถึงเมืองแขก 12.30 น. สองชั่วโมง แต่เที่ยงครึ่งเวลาแขกนะครับช้ากว่าบ้านเราชั่วโมงครึ่ง เอาสิมาถึงแล้วครับโอ้แขกจ๋าพี่มาแล้วจ้า

  พอก่อนนะครับ เดวมาเล่าต่อ หิวข้าวหาไรยัดลำไส้ก่อน