วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เดินเที่ยวตลาดสดอินเดีย

     การเดินตลาดสด เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเดิน ไม่ว่าประเทศไหน ที่ไหนของทุกมุมโลกก็ต้องมีตลาดสด เพราะเรามีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยอาหารในการยังชีพ หากไม่มีสถานที่สำหรับหาซื้อของพวกนี้แล้ว พวกเราก็คงต้องปลูกกินกันเองแหละครับ ปกติผู้เขียนเป็นคนที่ชอบเดินตลาด บางทีก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากหรอกครับ ไปทักทายพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จัก เราไม่ซื้อเขาก็ไม่ว่า (อาจเพราะรู้จักกัน) บางทีกลัวเสียน้ำใจก็เอาซักนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มครับ
      ตลาดสดทั่วไปที่พวกเราเห็นในเมืองไทยนั้น ก็ดูดี มีการจัดวางรูปแบบที่มีความเหมาะสม อีกทั้งตลาดสดในเมืองไทย มีการซื้อขายสินค้าทุกอย่างนะครับ หลายท่านที่เดินตลาดสดบ่อยๆ ก็พอจะนึกออกใช่ไหมครับ เราสามารถหาได้ตามที่เราต้องการตั้งแต่ผักสด อาหารสด ไปจนถึง ของอาหารการกินที่พร้อมจะขึ้นโต๊ะได้เลย
     ทว่า อินเดีย หากหลายๆ ท่านที่ได้เคยไปสัมผัส คำว่า ตลาดสด ถือว่าเป็นของที่ สดจริงๆ ผักก็ตั้งขายกันแบบวางกันบนพื้น บางร้านก็มีการยกระดับขึ้นมานิดหน่อย แต่ตลาดสดอินเดียที่ทำให้ผู้เขียนสนใจนั้นอยู่ที่การขาย รูปแบบการขายเขาดีนะครับ ชวนคุย เลือกซื้อ ไม่ซื้ออาจทำให้คนขายไม่พอใจด่าตามหลังก็ได้นะ
     สินค้าที่เขานำมาวางขายนั้นก็มีหลากหลายชนิด แล้วแต่ว่าพ่อค้าแม่ขายจะสรรหามาเสนอลูกค้า บางร้านก็ขายสักสองสามอย่าง แต่ปกติทั่วไปแล้วเขาขายกันแบบ One Stop Service คือ มีทุกอย่างให้ลูกค้าได้เลือกสรรกันเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็น หัวหอม กะหล่ำปลี หัวไชท้าว ผักชี มากมายนะครับ อีกทั้งราคาที่เขาเสนอ บางทีผู้เขียนก็นึกถึงเมืองไทยเลยทีเดียว เคยซื้อต้นหอมผักชี มัดละ 5 บาท กระจิ๊ดเดียว แต่อินเดีย สิบรูปี กินได้สัก 3-4 วัน พริกนี่หนักเลย ซื้อผักสดเสร็จเขาแถมให้ บางทีเยอะกว่าที่เมืองไทยถาดละ 5 บาทด้วยซ้ำไปนะครับ










ขอกราบนมัสการขอบคุณรูปภาพประกอบโดย Namaste Dhamma

ความสนใจในการศึกษา

   
รูปภาพประกอบ ขอขอบคุณ Namaste Dhamma
ประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านการศึกษา ไม่ว่าจะมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมากแค่ไหน ผู้นำประเทศก็จะมีการสนับสนุนการศึกษาให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ในส่วนของประเทศอินเดียนั้น การศึกษาจากการที่ผู้เขียนเองได้ไปศึกษาอยู่ ซึ่งสามารถมองได้ว่า การศึกษาที่ประเทศอินเดียนั้น เขามีการส่งเสริมและสนับสนุนกันอย่างเป็นรูปแบบที่ดี การจัดการศึกษาก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่เคยมีผู้ที่กล่าวว่า คนที่ทำงานในองค์การนาซ่า ประกอบไปด้วยคนอินเดียเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยในส่วนนี้เอง ทำให้มองเห็นได้ว่า การจัดการศึกษาในประเทศอินเดียนั้น มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพราะหากไม่แน่จริงแล้วนั้น คงไม่สามารถทำงานในองค์กรที่มีความก้าวหน้าในระดับโลกได้เช่นนี้
     ในระดับของการศึกษาที่ประเทศอินเดียนั้น เขาก็มองการศึกษาว่า ควรที่จะเน้นให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้จำกัดเพียงเพราะว่าจะทำให้เด็กจบการศึกษาเท่านั้น แต่ทว่า อินเดียนั้น สอนเด็กให้รู้จักการปรับตัว การทำงาน การดำเนินชีวิต คือ สอนให้เด็กได้เรียนรู้เพื่อนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงๆ
     และการเรียนของประเทศอินเดียนั้น ก็บอกได้เลยว่า เขาไม่ได้เรียนกันแบบเช้ายันเย็น เด็กนักเรียนจะมีเวลาอยู่กับครอบครัวมาก ซึ่งเขาก็คงมองแล้วหล่ะครับ ว่ามีประสิทธิภาพมาก
    โดยที่เด็กนักเรียนจะต้องเข้าเรียนในเวลา 10.00 น. ในตอนเช้า เที่ยงก็พัก เข้าเรียนอีกทีก็เวลา 14.00 น. เรียนไปจนถึงเวลา 17.00 น. ไม่เกินนี้ ซึ่งมองแล้วถือว่าใช้เวลาน้อยมาในการเข้าชั้นเรียน แต่ประสิทธิภาพของการศึกษานั้น ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
   

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

ปิดเทอมจึงได้เที่ยว: ถ้ำเอลโรล่า

ห่างหายไปนานครับ เพราะอะไรไม่รู้ ไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนเลย อิอิ แต่ว่ามาคราวนี้เลยเอาข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำเอลโลร่า (Ellora Cave) มาฝากกันเผื่อว่าท่านใดที่สนใจจะไปนะครับ ซึ่งถ้ำเอลโลร่าเป็นถ้ำที่ถือว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองออรังคาบาดเท่าไหร่ สามารถนั่งรถไปกลับได้ภายในครึ่งวัน (ผมทำแบบนี้แหละ)

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปิดเทอมจึงได้เที่ยว : ถ้ำอชันต้า (Ajanta Cave) ภาคสอง


                 ถ้ำอชันต้าเป็นถ้ำพระพุทธศาสนาล้วนและเก่าแก่ที่สุดในบริเวณเดียวกันแบ่งเป็น ๒ ยุค คือ ยุคเถรวาทและมหายาน โดยถ้ำที่ขุดเจาะเป็นแบบเถรวาท คือถ้ำหมายเลข ๘,,๑๐,๑๒,๑๓ และ ๓๐ รวม ๖ ถ้ำ ซึ่งถือว่าเก่าแก่ที่สุด เริ่มสร้างก่อนถ้ำอื่นราว พ.ศ. ๓๕๐-๕๕๐ นอกนั้นเป็นถ้ำมหายานสร้างต่อๆ กันมา และบางถ้ำเป็นแบบเถรวาทแบบเดิม แต่มาดัดแปลงแบบมหายานในภายหลัง บางครั้งฝ่ายมหายานวาดภาพทับของเดิมหรือแกะสลักภาพโพธิสัตว์เพิ่มเติม ความแตกต่างระหว่างถ้ำ ๒ นิกายนี้คือ ในถ้ำหินยานยุคแรกจะไม่มีพระพุทธรูปแกะสลักไว้ มีแต่สถูปหรือเจดีย์ ต้นโพธิ์หรือธรรมจักรเป็นตัวแทน (แต่หินยานต่อมาเริ่มแกะพระพุทธรูปบ้าง) ส่วนถ้ำมหายานนอกจากจะมีพระพุทธรูปแล้ว ยังมีพระโพธิสัตว์ ๒ ท่านมาแทนที่พระอัครสาวกซ้ายขวา คือพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร โดยที่พระโพธิสัตว์นั้นคือ พระโพธิสัตว์วัชรปาณี (แปลว่ามีสายฟ้าในมือ) อยู่ด้านซ้ายขององค์พระพุทธรูป เป็นเทพแห่งอิทธิฤทธิ์ มีฤทธานุภาพร้ายแรงสามารถบันดาลทุกอย่างด้วยฤทธิ์ได้ และ พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี (แปลว่ามีดอกบัวในมือ) อยู่ด้านขวามือขององค์พระพุทธรูป เป็นเทพแห่งความเมตตา กรุณา ในถ้ำฝ่ายมหายานจะมีการแกะสลักพระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นี้ไว้เคียงข้างพระพุทธรูปเสมอ

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พาราณสี : เอกราชที่สูญเสียและยังคงอยู่

     วันนี้ขอหลบมุมการเที่ยวไว้แล้วหันมาดูเมืองที่ผมได้อาศัยเพื่อศึกษาก่อน โดยเมืองนั้นคือ พาราณสี หากได้อ่านตามหน้าประวัติศาสตร์ เมืองพาราณสีได้สูญเสียเอกราชทางการปกครองหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่ยุคที่ถูกกองทัพมุสลิมเข้ายึดครองและทำลาย จากนั้นก็เป็นสมัยที่อังกฤษล่าอาณานิคม เอกราชที่ต้องสูญเสียความเป็นไทในการปกครองเป็นช่วงเวลาที่ข่มขื่น ยาวนาน แต่เอกราชประการหนึ่งที่เมืองพาราณสีไม่สูญเสีย คือ เอกราชที่ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมต่อประเทศใด แม้ว่าด้วยเหตุผลทางการเมืองที่กองทัพมุสลิมหลังจากปกครองพาราณสี ได้พยายามเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “มะหะหมัดบาด” แต่ก็ไม่สำเร็จ

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปิดเรียนจึงได้เที่ยว: ถ้ำอชันต้า (Ajanta Cave)

 สถานที่แรกของการเดินทางนั้นผมและเพื่อนได้ไปเที่ยวหมู่ถ้ำที่ถือว่ามีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ หมู่ถ้ำอชันต้า ซึ่งเป็นถ้ำทางพระพุทธศาสนาที่มีความยิ่งใหญ่อาจถือว่าเป็นถ้ำทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาก็ว่าได้ ซึ่งวันที่ไปนั้นอากาศร้อน แต่ก็มีผู้คนมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมขอนำเสนอเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของถ้ำอชันต้าและรูปภาพที่ไปเยี่ยมชมมา

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปิดเรียนจึงได้เที่ยว 01

หลังจากที่เครียดกับการสอบในการสอบวัดผลปลายภาคเรียนที่ ๑ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมาก จะต้องทำให้ดีและทำให้ได้ให้ดีที่สุด ต้องยอมรับว่าทุกคนต่างพากันมุดตัวอยู่แต่ในห้อง ช่วงก่อนสอบและช่วงสอบจึงไม่จะเห็นหน้าใคร บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยต่างเงียบเหงา แต่หลังจากที่พวกเรานักศึกษาได้ผ่านพ้นการสอบในวันสุดท้ายไปได้แล้วต่างก็ออกมาคุยกัน และหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกออกมาพูดคุยกันมากก็คือ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

มหาศิวราตรี (Maha Shivaratri)

ศิวราตรี (Shivaratri) หรือมหาศิวราตรี (Maha Shivaratri) เป็นเทศกาลสำคัญของชาวฮินดูที่มีการเฉลิมฉลองกันเป็นประจำทุกๆ ปี โดยเฉพาะในยามค่ำคืนของวันที่ 13 หรือ 14 แห่งกฤษณะปักษ์ (Krishna Paksha) หรือวันแรมแห่งเดือนมาฆะ ในวันนี้จึงเป็นวันหยุดราชการของประเทศอินเดียและทุกคนก็มีการเฉลิมฉลองกัน พิธีศิวาราตรี เป็นวันสำคัญอันดับที่ 34 ของชาวอินเดีย มีขึ้นในวัน 14 ค่ำ เดือน 3 เรียกว่า ศิวาราตรี วันนี้ชาวพราหมณ์-ฮินดูจะบูชาพระศิวะตลอด 24 ชั่วโมง ผู้นับถือเคร่งครัดอดอาหารและอดนอนตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้เป็นวันปรากฏของพระศิวะ และวันแต่งงานของพระศิวะ เชื่อกันว่าบูชาพระศิวะแล้ว จะได้คู่ชีวิตที่ดีและมีความสุขความเจริญ

เทศกาลเล่นสี (Holi festival)

holi          เทศกาลเล่นสี (Holi festival) หรือเรียกกันว่า วันโฮลี่ เป็นเทศกาลที่จะฉลองกันหลังจากวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนมีนาคม เป็นการฉลองให้กับความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินและการเก็บเกี่ยว นับเป็นเทศกาลที่สำคัญและใหญ่ของชาวอินเดีย โดยเฉพาะทางภาคเหนือของอินเดียถือได้ว่าเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนจะต้องกลับบ้านเพื่อร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัว ซึ่งก็มีความคล้ายกับเทศกาลสงกรานต์เมืองไทยของเรา

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องไร้สาระกับชีวิตในแต่ละวัน

     นิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ควรที่จะแก้ไข ดังนี้