ศิวราตรี (Shivaratri) หรือมหาศิวราตรี (Maha Shivaratri) เป็นเทศกาลสำคัญของชาวฮินดูที่มีการเฉลิมฉลองกันเป็นประจำทุกๆ ปี โดยเฉพาะในยามค่ำคืนของวันที่ 13 หรือ 14 แห่งกฤษณะปักษ์ (Krishna Paksha) หรือวันแรมแห่งเดือนมาฆะ ในวันนี้จึงเป็นวันหยุดราชการของประเทศอินเดียและทุกคนก็มีการเฉลิมฉลองกัน พิธีศิวาราตรี เป็นวันสำคัญอันดับที่ 34 ของชาวอินเดีย มีขึ้นในวัน 14 ค่ำ เดือน 3 เรียกว่า ศิวาราตรี วันนี้ชาวพราหมณ์-ฮินดูจะบูชาพระศิวะตลอด 24 ชั่วโมง ผู้นับถือเคร่งครัดอดอาหารและอดนอนตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้เป็นวันปรากฏของพระศิวะ และวันแต่งงานของพระศิวะ เชื่อกันว่าบูชาพระศิวะแล้ว จะได้คู่ชีวิตที่ดีและมีความสุขความเจริญ
เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานแห่งวันศิวะราตรี ท่านผู้รู้ได้เล่าเกี่ยวกับวันศิวะราตรีนี้ว่า ครั้งหนึ่งยังมีนายพรานผู้หนึ่งมีนามว่า สุสวาร ได้พักอาศัยอยู่ใกล้แค้วนพาราณสี มีอาชีพล่าสัตว์และจับสัตว์ไปขายในเมืองใหญ่ จนกระทั่งในวันหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าโชคไม่เข้าข้างกลับไม่พบกับสัตว์ให้ล่าแม้เพียงตัวเดียว นายพรานสุสวารจึงได้เดินท่องเที่ยวหาสัตว์เข้าไปในป่าลึกและลืมเวลาจนพลบค่ำ วันที่นายพรานสุสวารออกล่าสัตว์นั้นเป็นข้างแรม ท้องฟ้าปราศจากหมู่ดวงดาวและแสงสว่างอื่นใด นายพรานสุสวารได้หลงทางจนไม่ทราบว่าจะสามารถกลับออกมาจากป่าลึกนี้ได้อย่างไร และป่าลึกนี้ย่อมมีสัตว์ร้ายเป็นแน่ ด้วยความเกรงกลัวต่อสัตว์ร้ายในตอนกลางคืน นายพรานสุสวารจึงได้คิดปีนต้นไม้ใหญ่เพื่อความปลอดภัย และขึ้นไปนอนหลับรอแสงสว่าง บังเอิญต้นไม้ใหญ่ที่ว่านี้ คือ ต้นไทรใหญ่และใต้ต้นไทรใหญ่นี้ มีศิวะลึงค์ประดิษฐานอยู่ ป่าลึกใหญ่ที่น่ากลัวแห่งนี้ตกดึกสงัดยิ่งดูน่ากลัวเข้าทุกที ทำให้พรานผู้นี้ได้ท่องบ่งมนตราบูชาต่อพระศิวะเทพ และเมื่อดึกเข้า นายพรานสุสวารเกิดความหิวและกระหายน้ำมากแต่ก็ไม่รู้จะหาน้ำและอาหารจากไหนจึงได้อดทนต่อไป และอีกประการหนึ่งนายพรานนี้มีความวิตกห่วงใยต่อครอบครัว ภรรยา และลูก ๆ ว่าคงรอคอยผู้เป็นบิดา ด้วยความหิวเป็นแน่แท้ และภรรยาต้องรอคอยการกลับของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ด้วยอาการกระสับกระส่ายของพรานผู้นี้ เขาได้เริ่มร้องให้และดึงใบไม้ออกจากกิ่งปล่อยให้ใบไม้นั้นร่วงลงพื้น ให้บังเอิญตกลงบนศิวะลึงค์ที่อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่โดยมิได้ตั้งใจ วันนี้แท้จริงแล้วคือ "วันศิวะราตรี" นายพรานได้กราบไหว้บูชาท่องบ่นมนตราบูชาต่อพระศิวะเจ้า โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เรื่องนี้พระศิวะเจ้า ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณ พระองค์ทรงโปรดนายพรานเป็นอันมาก ต่อมาภายหลังที่นายพรานสุสวารได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว จึงได้ขึ้นไปอยู่บนศิวะโลก เป็นบริวาลแห่งพระศิวะเจ้า อย่างมีความสุข หลุดพ้นจากบาปทั้งหมดที่ได้เคยกระทำไว้ในชาตินี้ เมื่อถึงระยะเวลาหมดสิ้นในการเสวยผลบุญบนศิวะโลก นายพรานสุสวารท่านนี้ ได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ จากผลบุญที่ได้บูชาและท่องบ่นมนตราต่อพระศิวะเจ้า จึงถือเพศเป็นพระราชามีพระนามว่า "พระไชตรภานุ" พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทต่อการกราบไหว้บูชาต่อพระศิวะเจ้าและบูชามากที่สุดในวันศิวะราตรีนี้ และถือได้ว่าเป็นยอดแห่งผู้บูชาในวันนี้ สำหรับสถานที่ประกอบพิธีลอยบาปนี้จะกำหนดไว้ที่จุดคงคาจุฬาตรีคูณ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำคงคา ยมุนาและสรัสวตี ณ จุดที่บรรจบกันของแม่น้ำทั้ง 3 สาายนี้เองที่เรียกว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเมืองอัลลาฮาบาด ประเทศอินเดีย และที่บรรจบกันชื่อจุฬาตรีคูณจะมองเห็นเป็นน้ำสองสี สองกระแส กระทบกันได้อย่างชัดเจนและเป็นวังน้ำวน จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับผู้พบเห็นด้วยเหตุนี้นั้น ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงมีความเชื่อว่าภายใต้แม่น้ำ 5 สายนั้นยังมีแม่น้ำใต้ดินอีกสายหนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นได้ไหลมาบรรจบกัน ณ ตรงจุดนี้เป็นตาน้ำพุ่งขึ้น แม่น้ำสายนั้นก็คือ แม่น้ำสรัสวดี ดังนั้นจุดที่มาบรรจบกันของแม่น้ำสำคัญทั้ง 3 สายนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า "จุฬาตรีคูณ"
เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานแห่งวันศิวะราตรี ท่านผู้รู้ได้เล่าเกี่ยวกับวันศิวะราตรีนี้ว่า ครั้งหนึ่งยังมีนายพรานผู้หนึ่งมีนามว่า สุสวาร ได้พักอาศัยอยู่ใกล้แค้วนพาราณสี มีอาชีพล่าสัตว์และจับสัตว์ไปขายในเมืองใหญ่ จนกระทั่งในวันหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าโชคไม่เข้าข้างกลับไม่พบกับสัตว์ให้ล่าแม้เพียงตัวเดียว นายพรานสุสวารจึงได้เดินท่องเที่ยวหาสัตว์เข้าไปในป่าลึกและลืมเวลาจนพลบค่ำ วันที่นายพรานสุสวารออกล่าสัตว์นั้นเป็นข้างแรม ท้องฟ้าปราศจากหมู่ดวงดาวและแสงสว่างอื่นใด นายพรานสุสวารได้หลงทางจนไม่ทราบว่าจะสามารถกลับออกมาจากป่าลึกนี้ได้อย่างไร และป่าลึกนี้ย่อมมีสัตว์ร้ายเป็นแน่ ด้วยความเกรงกลัวต่อสัตว์ร้ายในตอนกลางคืน นายพรานสุสวารจึงได้คิดปีนต้นไม้ใหญ่เพื่อความปลอดภัย และขึ้นไปนอนหลับรอแสงสว่าง บังเอิญต้นไม้ใหญ่ที่ว่านี้ คือ ต้นไทรใหญ่และใต้ต้นไทรใหญ่นี้ มีศิวะลึงค์ประดิษฐานอยู่ ป่าลึกใหญ่ที่น่ากลัวแห่งนี้ตกดึกสงัดยิ่งดูน่ากลัวเข้าทุกที ทำให้พรานผู้นี้ได้ท่องบ่งมนตราบูชาต่อพระศิวะเทพ และเมื่อดึกเข้า นายพรานสุสวารเกิดความหิวและกระหายน้ำมากแต่ก็ไม่รู้จะหาน้ำและอาหารจากไหนจึงได้อดทนต่อไป และอีกประการหนึ่งนายพรานนี้มีความวิตกห่วงใยต่อครอบครัว ภรรยา และลูก ๆ ว่าคงรอคอยผู้เป็นบิดา ด้วยความหิวเป็นแน่แท้ และภรรยาต้องรอคอยการกลับของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ด้วยอาการกระสับกระส่ายของพรานผู้นี้ เขาได้เริ่มร้องให้และดึงใบไม้ออกจากกิ่งปล่อยให้ใบไม้นั้นร่วงลงพื้น ให้บังเอิญตกลงบนศิวะลึงค์ที่อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่โดยมิได้ตั้งใจ วันนี้แท้จริงแล้วคือ "วันศิวะราตรี" นายพรานได้กราบไหว้บูชาท่องบ่นมนตราบูชาต่อพระศิวะเจ้า โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เรื่องนี้พระศิวะเจ้า ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณ พระองค์ทรงโปรดนายพรานเป็นอันมาก ต่อมาภายหลังที่นายพรานสุสวารได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว จึงได้ขึ้นไปอยู่บนศิวะโลก เป็นบริวาลแห่งพระศิวะเจ้า อย่างมีความสุข หลุดพ้นจากบาปทั้งหมดที่ได้เคยกระทำไว้ในชาตินี้ เมื่อถึงระยะเวลาหมดสิ้นในการเสวยผลบุญบนศิวะโลก นายพรานสุสวารท่านนี้ ได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ จากผลบุญที่ได้บูชาและท่องบ่นมนตราต่อพระศิวะเจ้า จึงถือเพศเป็นพระราชามีพระนามว่า "พระไชตรภานุ" พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทต่อการกราบไหว้บูชาต่อพระศิวะเจ้าและบูชามากที่สุดในวันศิวะราตรีนี้ และถือได้ว่าเป็นยอดแห่งผู้บูชาในวันนี้ สำหรับสถานที่ประกอบพิธีลอยบาปนี้จะกำหนดไว้ที่จุดคงคาจุฬาตรีคูณ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำคงคา ยมุนาและสรัสวตี ณ จุดที่บรรจบกันของแม่น้ำทั้ง 3 สาายนี้เองที่เรียกว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเมืองอัลลาฮาบาด ประเทศอินเดีย และที่บรรจบกันชื่อจุฬาตรีคูณจะมองเห็นเป็นน้ำสองสี สองกระแส กระทบกันได้อย่างชัดเจนและเป็นวังน้ำวน จึงเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับผู้พบเห็นด้วยเหตุนี้นั้น ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงมีความเชื่อว่าภายใต้แม่น้ำ 5 สายนั้นยังมีแม่น้ำใต้ดินอีกสายหนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นได้ไหลมาบรรจบกัน ณ ตรงจุดนี้เป็นตาน้ำพุ่งขึ้น แม่น้ำสายนั้นก็คือ แม่น้ำสรัสวดี ดังนั้นจุดที่มาบรรจบกันของแม่น้ำสำคัญทั้ง 3 สายนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า "จุฬาตรีคูณ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น