วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปิดเรียนจึงได้เที่ยว: ถ้ำอชันต้า (Ajanta Cave)

 สถานที่แรกของการเดินทางนั้นผมและเพื่อนได้ไปเที่ยวหมู่ถ้ำที่ถือว่ามีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ หมู่ถ้ำอชันต้า ซึ่งเป็นถ้ำทางพระพุทธศาสนาที่มีความยิ่งใหญ่อาจถือว่าเป็นถ้ำทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาก็ว่าได้ ซึ่งวันที่ไปนั้นอากาศร้อน แต่ก็มีผู้คนมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมขอนำเสนอเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของถ้ำอชันต้าและรูปภาพที่ไปเยี่ยมชมมา


คำว่า อชันต้า เป็นชื่อของหมู่บ้านถ้ำ ๓๐ ถ้ำ ที่เจาะภูเขาทำเป็นสังฆารามที่พักสงฆ์ เจดีย์ สถานที่ปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา โดยตั้งชื่อตามชื่อของหมู่บ้นใกล้เคียง ผู้คนจึงเรียกถ้ำตามนามของหมู่บ้าน ถ้ำอชันต้าตั้งอยู่บนเทือกเขาอินทิยาทรี (Indiyadri) ยาวโค้งเป็นเกือกม้ามีแม่น้ำวาโฆร่า (Waghora) ไหลผ่าน ก่อนถึงถ้ำอชันต้าจะไม่สามารถมองเห็นภูเขาแต่เมื่อแผ่นดินลาดลดต่ำลง จึงเริ่มมองเห็นภูเขา หรือหุบเขาชัดเจน เทือกเขานี้เป็นภูเขาที่แกร่งมาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจาะภูเขาให้กลายมาเป็นถ้ำ และเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน บางถ้ำที่ขุดเจาะไม่สำเร็จยังสามารถมองเห็นลาวาภูเขาไฟที่แข็งตัวบนผนังถ้ำได้อย่างชัดเจน

ถ้ำอชันต้าเริ่มสร้างราว พ.ศ.๓๕๐ เป็นต้นมา การก่อสร้างได้ต่อเนื่องมาตามลำดับจนถึง พ.ศ. ๑๒๐๐ รวมเวลาไม่ต่ำว่า ๘๐๐ ปี ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์สัตตวาหนะ (Sattavahana) หลายพระองค์ ได้ระดมช่างที่มีฝีมือเยี่ยมและแรงงานคนเข้าขุดเจาะภูเขาหินดังกล่าว การขุดเจาะนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างสูงส่งจึงจะสามารถขุดเจาะหินที่มีความแข็งแกร่งได้และต้องใช้เวลาหลายร้อยปี


ต่อจากราชวงศ์สัตวาหนะแล้ว พระเจ้าอัศมากะ (Ashmakas) และพระเจ้าฤาษีกะ (Rshikas) แห่งราชวงศ์วากตกะ พ.ศ. ๑๐๐๐ ได้สนับสนุนการขุดเจาะต่อมา นักโบราณคดีกล่าวกันว่า แต่ละถ้ำใช้เวลาในการขุดเจาะไม่ต่อกว่า ๕๐ ปี จึงจะสำเร็จ การขุดเจาะถ้ำนั้นต้องใช้คนจำนวนมาก โดยคนที่ไม่มีฝีมือจะทำหน้าเจาะหินตามที่วิศวกรกำหนด สิ่งที่ใช้เจาะมีหลายชนิด ชนิดที่ใช้ทะลวงต้องแหลมใหญ่ อีกทั้งการเจาะหินต้องหลับตา มิฉะนั้นเศษหินจะเข้าตาได้ ทำให้ตาบวมหรืออักเสบหรือตาบอดได้ งานก็จะพลอยหยุดชะงักไปด้วย เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีแว่นตาใส่เพื่อป้องกันเศษหิน หรือฝุ่นเข้าตา เมื่อพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมจากประเทศอินเดียราว พ.ศ. ๑๗๐๐ เป็นต้นมา บริเวณถ้ำเหล่านี้ก็ขาดการดูแลและถูกทิ้งร้างไป ในที่สุดก็เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดียโดยสิ้นเชิงจนมีคนมาพบเข้าโดยบังเอิญ


วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๖ (ค.ศ.๑๗๑๘) สมัยนั้นอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ มีกองทหารอังกฤษกลุ่มหนึ่งจากเมืองเชนไน (มัทราส) นำโดย ร้อยเอกจอห์น สมิธ (John Smith) เข้ามาล่าสัตว์โดยเฉพาะกวางในบริเวณแถบนี้ กวางตัวหนึ่งถูกยิงและได้หลบหนีไป นายทหารคนดังกล่าวได้ติดตามไปจนพบรอยเลือดของกวาง และได้เจอถ้ำอชันต้าโดยบังเอิญ สภาพของถ้ำในขณะนั้นมีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมถ้ำเต็มไปหมด หลายถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลาย เช่น งู ตะกวด เป็นต้น บางถ้ำเป็นที่อาศัยของสัตว์ปีก เช่น นก ค้างคาว เป็นต้น หลังจากสำรวจแทบทุกถ้ำหมดแล้ว เขาได้จารึกชื่อเขาไว้ด้านในถ้ำด้วย (ปัจจุบันยังปรากฎอยู่)  แล้วได้ส่งเรื่องไปยังนิชาม (ผู้ครองเมืองชาวมุสลิม) แห่งเมืองไฮดาราบาด แต่นิชามก็ไม่ได้ตกลงใจเชื่อ จึงได้ส่งคนมาดูและเป็นจริงตามที่นายทหารแจ้ง จึงเชื่อและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถ้ำอชันต้าจึงเริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากขึ้น








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น