วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปิดเทอมจึงได้เที่ยว : ถ้ำอชันต้า (Ajanta Cave) ภาคสอง


                 ถ้ำอชันต้าเป็นถ้ำพระพุทธศาสนาล้วนและเก่าแก่ที่สุดในบริเวณเดียวกันแบ่งเป็น ๒ ยุค คือ ยุคเถรวาทและมหายาน โดยถ้ำที่ขุดเจาะเป็นแบบเถรวาท คือถ้ำหมายเลข ๘,,๑๐,๑๒,๑๓ และ ๓๐ รวม ๖ ถ้ำ ซึ่งถือว่าเก่าแก่ที่สุด เริ่มสร้างก่อนถ้ำอื่นราว พ.ศ. ๓๕๐-๕๕๐ นอกนั้นเป็นถ้ำมหายานสร้างต่อๆ กันมา และบางถ้ำเป็นแบบเถรวาทแบบเดิม แต่มาดัดแปลงแบบมหายานในภายหลัง บางครั้งฝ่ายมหายานวาดภาพทับของเดิมหรือแกะสลักภาพโพธิสัตว์เพิ่มเติม ความแตกต่างระหว่างถ้ำ ๒ นิกายนี้คือ ในถ้ำหินยานยุคแรกจะไม่มีพระพุทธรูปแกะสลักไว้ มีแต่สถูปหรือเจดีย์ ต้นโพธิ์หรือธรรมจักรเป็นตัวแทน (แต่หินยานต่อมาเริ่มแกะพระพุทธรูปบ้าง) ส่วนถ้ำมหายานนอกจากจะมีพระพุทธรูปแล้ว ยังมีพระโพธิสัตว์ ๒ ท่านมาแทนที่พระอัครสาวกซ้ายขวา คือพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร โดยที่พระโพธิสัตว์นั้นคือ พระโพธิสัตว์วัชรปาณี (แปลว่ามีสายฟ้าในมือ) อยู่ด้านซ้ายขององค์พระพุทธรูป เป็นเทพแห่งอิทธิฤทธิ์ มีฤทธานุภาพร้ายแรงสามารถบันดาลทุกอย่างด้วยฤทธิ์ได้ และ พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี (แปลว่ามีดอกบัวในมือ) อยู่ด้านขวามือขององค์พระพุทธรูป เป็นเทพแห่งความเมตตา กรุณา ในถ้ำฝ่ายมหายานจะมีการแกะสลักพระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นี้ไว้เคียงข้างพระพุทธรูปเสมอ

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พาราณสี : เอกราชที่สูญเสียและยังคงอยู่

     วันนี้ขอหลบมุมการเที่ยวไว้แล้วหันมาดูเมืองที่ผมได้อาศัยเพื่อศึกษาก่อน โดยเมืองนั้นคือ พาราณสี หากได้อ่านตามหน้าประวัติศาสตร์ เมืองพาราณสีได้สูญเสียเอกราชทางการปกครองหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่ยุคที่ถูกกองทัพมุสลิมเข้ายึดครองและทำลาย จากนั้นก็เป็นสมัยที่อังกฤษล่าอาณานิคม เอกราชที่ต้องสูญเสียความเป็นไทในการปกครองเป็นช่วงเวลาที่ข่มขื่น ยาวนาน แต่เอกราชประการหนึ่งที่เมืองพาราณสีไม่สูญเสีย คือ เอกราชที่ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมต่อประเทศใด แม้ว่าด้วยเหตุผลทางการเมืองที่กองทัพมุสลิมหลังจากปกครองพาราณสี ได้พยายามเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “มะหะหมัดบาด” แต่ก็ไม่สำเร็จ